อินหนีเที่ยว

April 26, 2013    japan japanese

จะเห็นได้ว่าผมไม่ได้เขียนมาเป็นเวลากว่าสิบวันแล้วละมั้ง เพราะ iPad ชาร์ตไม่เข้า, Notebook เสียบไม่ได้, คอมสาธารณะไม่มีคีย์บอร์ดไทย ถึงแม้จะพยายามลงก็ต้องใช้แผ่น TT

ขอเล่ารวมๆเลยละกันบางทีไม่ได้ถ่ายรูปมา ใช้กล้องพี่ถ่าย ลงแค่ที่ถ่ายผมถ่ายพอละกัน :D

ประมาณวันแรกๆ[ไม่รู้วันไหน] ก็ต้องไปซื้อ Internet Sim เพื่อเล่นในญี่ปุ่นกันก่อนเลือกไปซื้อที่ Yodobashi Camera ในย่าน Akiba ซึ่งญี่ปุ่นนี้ขึ้นชื่อว่าซื้อซิมกับโทรศัพท์ยากมากกก เพราะต้องเป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ ไปก็เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยในญี่ปุ่นเกิน 6 เดือน หรือถ้าเป็นนักท่องเที่ยวจะสามารถซื้อซิมแบบนักท่องเที่ยวได้คือเป็นเน็ตอย่างเดียวซื้อแล้วใช้ได้เลยไม่ต้องเป็นคนญี่ปุ่นก็ได้ < เจอของ bmobile แต่ไปมันบอกเลิกขายไปแล้ว เลยไปซื้อแบบซิมคนญี่ปุ่นพนักงานบอกให้พนักงานโรงแรมทำให้ ==” แต่เอาเข้าจริงเขาไม่ยอมทำบอกให้ไปใช้โทรศัพท์สาธารณะแทน เลยให้เพื่อนพี่ที่เรียนญี่ปุ่นทำให้ บอกว่าทำง่ายมากเป็นระบบอัตโนมัติ แต่ทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดนะ คือถ้าไม่เรียนญี่ปุ่นจริงคือฟังไม่รู้เรื่องแน่ๆ

Sakura

ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเรื่องการซื้อซิมนี้จำเป็นมาก ซื้อมาใช้ด่วนๆไม่งั้นคุณต้องเที่ยวถามคนญี่ปุ่นซึ่งคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ผมว่าเกิน 85% พูดภาษาอังกฤษผิดๆถูกๆถึงพูดไม่ได้เลย + กับพูดปนญี่ปุ่นอีก แบบเราฟังไม่รู้เรื่อง TT ให้ซื้อซิมแล้วช้ Google Map แทน แม่นเปะ แนะนำให้พกแบตเตอร์รี่สำรองก้อนใหญ่ๆไปด้วย [ที่ญี่ปุ่นที่ผมเจอ wifi ฟรีมีน้อยมาก คือสถานีรถไฟ และสนามบินเพียงเท่านั้น]

วันที่ 1

  * ไปประสาท Osaka [อันนี้ก่อน Activate Sim] เดินถามทางไปเรื่อยๆแบบ nonet คนที่นั้นส่วนใหญ่จะไม่รู้ทาง คือเดินตามทางตัวเองเท่านั้น ไปที่นั้นทุกวันก็จำไว้ๆ ทางอื่นขนาด landmark แบบฮิเมจินี้ยังไม่รู้เลยทั้งๆที่ห่างจากตรงนั้นไม่ถึงกิโล
  * ต่อมาไปวัดโทไดจิ ข้างในก็มีกวาง กวาง กวาง กวาง กวางขำหัก กวางขี้ ขี้กวาง แล้วก็พระ จุดธูป ไหว้ ขอพร ถ่ายรูป ละก็ออกมา

Fushimi Inari-taisha

ต่อมาวันที่ 2

  * ไปวัดเงิน Ginkakuji อันนี้ซื้อตั๋วเข้าไปถ่ายรูปอย่างเดียว เพราะเราเข้าไปในส่วนตัววัดไม่ได้ แต่ด้านนอกเขาสวยจริง
  * ต่อมาไปเดินเล่นที่ทางเดินแห่งปรัชญา (Path of philosophy) เจอ Sakura เต็มไปหมด สวยมาก
  * ไปต่อด้วยวัดน้ำใส วันนี้ไปเดินเล่น มีส่วนนึงปิดซ่อมบำรุงเราเข้าไปไม่ได้ วัดนี้ไปตามชื่อ คือเราไปกินน้ำ 3 สาย ถ่ายรูปตามระเบียบแล้วก็ออกมา
  * ต่อมาไปเสาแดง Fushimi Inari Taisha เป็นทางเดินเสานับพันๆต้น ระยะประมาณ 4 กิโล อันนี้ไม่ได้เดินสุดเพราะดึกแล้ว + กลัวผีญี่ปุ่น

temple

มาวันที่ 3 แล้ว

  * ไปวัดทอง Kinkakuji  ถ่ายรูปอย่างเดียวเหมือนวัดเงิน เข้าไปในส่วนตัววัดไม่ได้ ซื้อของที่ละทึกแล้วออกมา
  * ไปวัด Ryoan-Ji (อ่านว่า เรียวอันจิ) อันนี้ข้างในจะเป็นปริศนาหิน มีหินตั้งๆอยู่ก็ไปถ่ายรูปกัน [ทีแรกคุณพี่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าถ้าแก้ปริศนาหินไม่ได้จะไม่กลับไทย]
  * ไปกินปู อาหาร โค ตา ระ แพงของที่นั้น ที่ถือว่าเป็นอาหารระดับแรร์ ตั้งแต่มาเลยก็เป็นได้ แถวๆ Dotonbori ใครไม่รู้จักมันคือที่ตั้งของ Mascot Glico นักวิ่ง

Fujisan

วันที่ 4

  * นั่ง Shinkansen จาก Osaka ไป Tokyo แนะนำให้นั่งทางซ้าย ก่อนถึง Tokyo ประมาณ 40-50 นาที จะเห็นภูเขาไฟฟูจิ
  * เหยียบห้าง Venus Fort ที่มีท้องฟ้าจำลองสุดสวย จากนั้นไปดูสะพานสายรุ้ง <<<ที่ไม่มีรุ้ง และเทพีเสรีภาพจำลอง

วันที่ 5

  * ไป Tokyo Disneyland เล่น เล่น เล่น แล้วก็กลับ

Great Budha

วันที่ 6

  * กะว่าจะไปกิน Sushi Dai แต่คิวยาวมาก คนที่ต่อหน้าเราบอกว่าต้องรอ 4 ชั่วโมงเลยขอบาย ไปกินร้านแถวๆนั้นราคาพอกัน (โคตาระแพง) มันเป็นตลาดปลา เป็นพวกปลาที่จับขึ้นมาสดๆ ได้กินโทโร่ โอโทโร่ด้วย แง่มๆ
  * จากนั้นไปถ่ายรูป Kōtoku-in [Great Buddha]

วันที่ 7

  * เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ไปย่าน Akiba ซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง รุ่น Panasonic < จะถูกกว่าไทยราวๆพันบาท กับนาฬิกาใหม่
  * ไป Kiddyland = ไม่มีไรเลย ซื้อของฝากท่านพี่

Ropeway @Hakone japan

วันที่ 8

  * ขึ้นเขา นั่ง Ropeway ไปกินไข่ดำที่ Hakone

วันที่ 9

  * ตื่นนอน ไปวัด Asakusa หยอดเงิน 5 เยน [สื่อความหาย โกเอ็น โชคดี]
  * จากนั้นไปตลาด Ameyayoko ซื้อ Kitkat ชาเขียว และที่นี้เป็นที่ๆพี่กับผมเสียเงินไปกับตู้เล่นเกม กว่า 3000 เยน โดยที่ไม่ได้อะไรออกมาเลย  TT
  * แล้วนั่งรถไฟไปสนามบิน Narita กลับไทย

ที่เที่ยวน้อย ไม่ใช่ขี้เกียจเดิน วันนึงเวลามันน้อยมากจริงๆ ที่ญี่ปุ่นเดินแล้วไม่ค่อยล้าเพราะอากาศเย็นวันนึงเดินไปสิบโลยังไม่เหนื่อยเลยด้วยซ้ำ ที่ไทยแค่เดินไปหน้าปากซอยยังไม่อยากเดินเลย

ข้อสังเกต

  1. คนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถึงไม่ได้เลย
  2. ใช่ว่า Duty Free จะถูกกว่าของในไทย
  3. อาหารที่นั้นแพงกว่าไทยประมาณ 4-5 เท่า เช่นราเมงที่นั้นถึงแม้จะชามใหญ่มาก (คนที่นั้นกินจุ + หนาวอีก) แต่ไม่มีเนื้อเลยสักชิ้น
  4. คนญี่ปุ่นขึ้นบันไดจะชิดไปด้านหนึ่งเสมอ แต่จะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ผมจำไม่ได้แล้ว เช่น Osaka ชิดซ้ายกัน พอมา Tokyo เขาชิดขวา
  5. ชักโครกก้นอุ่น ล้างก้นอัตโนมัติ <<อันนี้เจ๋งสุดและ ใครไปเป็นต้องพูดถึง
  6. เซเว่นไปเจอ 2 ร้าน ไม่ค่อยมีอะไรแวะ Lawson ดีกว่า
  7. ที่นั้นในร้านสะดวกซื้อนอกจากตู้เย็นแล้ว เขายังมีตู้ร้อนไว้แช่กาแฟร้อนอีก
  8. คนที่นั้นชอบใส่หน้ากากอนามัยใส่กันฝุ่น ไม่ใช่เพราะเป็นหวัด ถ้าใส่อยู่ไทยคงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เป็นแน่แท้
  9. ถึงหนาวแค่ไหนคนที่นั้นก็ไม่นิยมใส่ถุงมือ
  10. นิยม Onepiece Kitty รอง
  11. ใครจะไป Tokyo Disneyland ค่าบัตรแพงมากถึงแพงที่สุด แต่พอซื้อแล้วสามารถเข้าเล่นได้ทุกเครื่อง เครื่อเล่นที่นั้นไม่ค่อยหวาดเสียว รถไฟเหาะตีลังกาไม่มี มีแต่ท่องอวกาศ กับรถไฟขนถ่านซึ่งก็หวาดเสียวพอกัน
  12. ฮิตชาเขียว พี่ซื้อชาเขียวมาเต็มเลย
  13. Softcream ก็มีชาเขียว
  14. ฮิต Softcream
  15. เล่นกันแต่โทรศัพท์
  16. อันนี้ไม่รู้คนที่นั้นเขาเป็นหรือเปล่าหรือเปลี่ยนกันไปใช้ LTE หมดแล้ว; เพราะ 3G ที่นั้นช้าแบบเต่าเป็นเหน็บ แต่พอผมไป Speedtest S3 ที่ตั้งโชว์ใช้ LTE ผลปรากฏว่าวิ่งแรงกว่า Ultra Hispeed ของทรูเสียอีก
  17. ถ้าไปเที่ยวอย่าหวังจะซื้อโทรศัพท์ทีนั้นเพราะต้องเป็นคนญี่ปุ่น หรือไปเรียนที่นั้นจริงๆ
  18. ที่เห็นโทรศัพท์ 0yen คือเราต้องจ่ายค่าบริการ 2 ปี

ปล.อยากได้รูปวิว มาหาผม ชาตินึงอัพครั้ง @iinnnstagram

อยากได้รูปแนว Art ติดต่อ @armqwertyuiopasdfghjklzxcvbnm

พวกขนมต่างๆอยากรู้มีอะไรบ้างไปผู้เชี่ยวชาญ @aomaomaom_


ชอบบทความนี้รึเปล่า?
กดทวิตเป็นกำลังใจ 🤟